วันอังคารที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556


ต้นมิสเซิลโท(Mistletoe)

 ว่ากันว่าใครที่จูบกันใต้ต้นมิสเซิลโทจะได้แต่งงานกันและครองคู่ไปตลอด
 เป็นคำสัญญาแห่งรัก ว่าจะรักเป็นคู่รักที่รักกันตราบชั่วฟ้าดินสลาย 





วันพฤหัสบดีที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ValentinesDay
The first legend, and perhaps the best known, began in Rome, when the Emperor, Claudius II, was involved in many bloody and unpopular campaigns. “Claudius the Cruel” as he was called, was having a difficult time getting soldiers to join his military leagues.
ตำนานแรก และบางทีก็เป็นที่รู้จักกันดีแล้ว ได้เกิดขึ้นที่กรุงโรม เมื่อจักรพรรดิ คลาวดิอุสที่สอง ซึ่งเป็นบุคคลที่ชอบใช้นโยบายการนองเลือดประหัตประหารกัน อันไม่เป็นที่ยอมรับกันทั่วไป และเขาเรียกตัวเขาเองว่า “คลาวดิอุสผู้โหดร้าย” ในตอนนี้การเกณฑ์ทหารเข้ากองทัพเป็นสิ่งที่ลำบากยากเย็นมาก
He believed that the reason was that Roman men did not want to leave their loves or families. So, he cancelled all marriages and engagements in Rome!
เขาเชื่อว่าเป็นเพราะเหตุหนุ่มชาวโรมไม่อยากจากคนรักและครอบครัวนั่นเอง ดังนั้นเขาก็เลยยกเลิกพิธีแต่งงานและการหมั้นหมายในกรุงโรม
The good Saint Valentine, who was a priest in Rome, in the year 269 A.D., together with his friend Saint Marius, defied Claudius and continued to perform marriages for young lovers in secret.
นักบุญผู้ใจดีชื่อ วาเลนไทน์ ซึ่งเป็นบาทหลวงในกรุงโรม ในปี 269 พร้อมกับเพื่อนชื่อ นักบุญมาริอุส ไม่ยอมรับกฎเกณฑ์ของจักรพรรดิคลาวดิอุส และยังคงประกอบพิธีการแต่งงานอย่างลับๆ
When Valentine’s actions were discovered, he was sentenced to be beaten to death with clubs and to have his head cut off.
เมื่อการประกอบพิธีกรรมของบาทหลวงวาเลนไทน์ถูกจับได้ ท่านก็ถูกลงโทษด้วยการตีจากไม้กระบองจนเสียชีวิต และถูกตัดศีรษะด้วย
But while in prison, it is believed that Valentine fell in love with a young girl, who may have been his jailor’s daughter, who visited him during his confinement. Before his death on the 14th day of February, it is alleged that he wrote her a letter, which he signed
” From your Valentine”
In 496 A.D., Pope Gelasius set aside February 14 to honor St. Valentine.
แต่ในขณะที่บาทหลวงอยู่ในคุก เชื่อกันว่า บาทหลงหลงรักผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งอาจเป็นลูกสาวผู้คุมเรือนจำ ซึ่งได้เข้ามาเยี่ยมบาทหลวงตอนที่ท่านถูกกักขังในคุก ก่อนวันที่ท่านจะเสียชีวิตในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เชื่อกันว่า ท่านได้เขียนจดหมายฉบับหนึ่งลงลายมือชื่อว่า
” จากวาเลนไทน์”
ในปี 496 พระสันตะปาปา เกลาซิอุส กำหนดให้วันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันรำลึกถึง บาทหลวงวาเลนไทน์
จากประวัติด้านบนสรุปแล้ว วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ที่เรายึดมั่นกันว่าเป็นวันแห่งความรักนั้น ที่แท้ก็คือวันมรณะภาพของบาทหลวงวาเลนไทน์นั่นเอง

วันอังคารที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2556



ประวัติดอกฟอร์เก็ตมีน็อต  ( Forget-Me-Not )
คำว่า “ Forget-Me-Not” แปลว่า “ อย่าลืมฉัน ” เป็นคำพูดสุดท้ายของผู้ชายคนหนึ่งก่อนที่ความตายจะมาพรากเขาไปจากสาวคนรัก หนุ่มคนนี้มีชีวิตอยู่ในประเทศฝรั่งเศสเมื่อหลายร้อยปีมาแล้ว เขาเป็นอัศวินผู้กล้าหาญ ซึ่งมีคนรักเป็นสาวงาม ครบสูตรคู่รักเพอร์เฟ็คของสมัยนั้น วันหนึ่งทั้งคู่ไปเดินเล่นริมแม่น้ำ บังเอิญสาวคนรักเหลือบไปเห็นดอกไม้แปลกหน้าสีม่วงเข้มสดใส ซึ่งไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน ชูดอกงามอยู่ริมตลิ่ง เธอก็เลยขอร้องคนรักให้ลงไปเก็บให้ ซึ่งเขาก็ทำตามโดยดี แต่โชคร้ายที่ตลิ่งลื่นมาก และตัวเขาก็ใส่เสื้อเกราะเหล็กซึ่งหนักอึ้งอยู่ ชายหนุ่มก็เลยลื่นตกลงไปในแม่น้ำที่เชี่ยวกราก เขาพยายามตะเกียกตะกายเอาชีวิตรอด แต่เพราะน้ำหนักเสื้อทำให้เขาจมลงไปทุกที ชายหนุ่มรู้จุดจบของเขาคงจะมาถึงแน่แล้ว เขาจึงโยนดอกไม้ดอกงามขึ้นไปให้สาวคนรักและตะโกนบอกเธอเป็นประโยคสุดท้ายว่า “ Ne moubliez pas... อย่าลืมฉันนะที่รัก ” จากนั้นร่างของเขาก็จมลงหายไปในแม่น้ำ “ ดอก Forget Me Not ” (เป็นคำในภาษาอังกฤษแปลว่าอย่าลืมฉัน) จึงถูกตั้งให้เป็นตัวแทนของรักแท้ที่ไม่มีวันดับ เหมือนความรักของอัศวินหนุ่มกับสาวคนรักนั้นเอง

วันเสาร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2556


วันคริสต์มาส

Christmas or Christmas Day is an annual holiday celebrated on December 25 that
commemorates the birth of Jesus of Nazareth. The date of commemoration is not known to be
Jesus' actual birthday, and may have initially been chosen to correspond with either a historical Roman
festival or the winter solstice. Christmas is central to the Christmas and holiday season, and in Christianity marks the beginning of the larger season of Christmastide, which lasts twelve days.

วันคริสต์มาสเป็นวันหยุดประจำปี ที่จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองการประสูติของพระเยซูซึ่งตรงกับวันที่ 25 ธันวาคม โดยวันดังกล่าวอาจจะไม่ตรงกับวันเกิดจริงๆของพระเยซู แต่อาจจะเป็นวันที่ถูกเลือกเอาไว้เพื่อให้สอดคล้องกับเทศกาลโรมัน หรือสอดคล้องกับวันที่มีช่วงเวลากลางวันสั้นที่สุด (winter solstice)คริสต์มาสเป็นเทศกาลที่สำคัญ และมีการฉลองอย่างยิ่งใหญ่ ในย่านของชาวคริสเตียนนั้นจะมีการจัดเทศกาลนี้ยาวนานถึง 12 วัน

Although traditionally a Christian holiday, Christmas is widely celebrated by many non-Christians, andsome of its popular celebratory customs have pre-Christian or secular themes and origins. Popular modern customsof the holiday include gift-giving, Christmas carols, an exchange of greeting cards, church celebrations, a special meal,and the display of various decorations; including Christmas trees, lights, and garlands, mistletoe, nativity scenes, and holly. In addition, Father Christmas (known as Santa Claus in North America and Ireland) is a popular mythological figure in many countries, associated with the bringing of gifts for children.

แม้ว่าวันคริสต์มาสจะเป็นเทศกาลของชาวคริสต์ แต่ในหมู่คนที่ไม่ใช่ชาวคริสต์ก็มีการเฉลิมฉลอง
กันอย่างแพร่หลายเช่นกัน ซึ่งการเฉลิมฉลองนั้นมีทั้งแบบสมัยใหม่ที่ไม่เกี่ยวข้องกับศาสนาเลยกับอีก
แบบหนึ่งคือแบบดั้งเดิม โดยประเพณีที่เป็นนิยมในสมัยใหม่นั้น ได้แก่ การมอบของขวัญ การแลกเปลี่ยนการ์ดอวยพร
การจัดงานเลี้ยงฉลองในโบสถ์ การรับประทานอาหารมื้อพิเศษ และการโชว์งานตกแต่งประดับประดาตามสถานที่ต่าง ๆด้วย ต้นคริสต์มาส ดวงไฟประดับ พวงดอกไม้ ต้นมิสเซิลโท การแสดงเกี่ยวกับวันประสูติของพระเยซู และต้นฮอลลี่
นอกจากนี้บิดาแห่งคริสต์มาส (หรือที่ชาวอเมริกาเหนือและไอร์แลนด์เรียกว่า ซานตาคลอส) ยังเป็นหนึ่งตำนานที่เป็น
ที่รู้จักกันว่าเป็นผู้นำของขวัญมามอบให้กับเด็ก ๆ

Because gift-giving and many other aspects of the Christmas festival involve heightened economic
activity among both Christians and non-Christians, the holiday has become a significant event and a key
sales period for retailers and businesses. The economic impact of Christmas is a factor that has grown
steadily over the past few centuries in many regions of the world.

 เนื่องจากการมอบของขวัญและการฉลองทั้งหลายนี้ ส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจสูงมาก ทั้งในเมืองของชาวคริสเตียน และที่ไม่ใช่ชาวคริสเตียนเทศกาลคริสต์มาสจึงกลายเป็นช่วงเวลาที่สำคัญในการขายของสำหรับเหล่าพ่อค้าและนักธุรกิจการที่ระบบเศรษฐกิจได้รับการกระตุ้นจากเทศกาลนี้คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการเติบโตอย่างต่อเนื่องในทั่วทุกพื้นที่ในช่วง 2-3 ศตวรรษที่ผ่านมานี้

วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ในตำนานของกรีกนั้น เมดูซ่า (อังกฤษ: Medusa) เป็นผู้หญิงที่มีผมเป็นงู และเมื่อมีคนมองมาที่ใบหน้าเธอ (จ้องตา) คนผุ้นั้นจะกลายเป็นหิน ที่จริงแล้วก่อนที่เมดูซ่าจะมีความร้ายกาจดังที่เป็นที่เล่าขานกันมานั้น เมดูซ่านั้นเป็นหญิงสาวที่มีหน้าตาสวยงามมาก
เมดูซ่า เป็นหนึ่งในลูกสาวทั้งสามของ เมทิสซึ่งเมทิสเป็นเจ้าแห่งสติปัญญาและสามารถแปลงร่างเป็นสิ่งต่างๆได้มากมาย แต่เดิมลูกทั้ง 3 ของเมทิสเป็นคนที่สวยงามมาก แต่แล้ววันหนึ่งเมทิสแม่ของเมดูซ่าถูกเทพ ซุส (Zeus) ข่มขืนและกลืนกินลงท้องไป และซุสจึงได้ใช้สติปัญญาและความสามารถทางการแปลงร่างของเมทิสเพิ่มอำนาจให้กับตนเอง พลังอำนาจนั้นทำให้เทพซุสยิ่งใหญ่เหนือเทพทั้งปวง และต่อมาเทพธิดา อาเธน่า (Athena) ได้ถือกำเนิดขึ้นมาจากการที่พลังของเมทิสทะลักออกมาทางหน้าผากของซุส เมื่อเอเธน่าได้กำเนิดขึ้นพร้อมกับความสามารถทางสติปัญญาของเมทิสผู้เป็นแม่ และเอเธน่าก็ถือเมดูซ่าพี่น้องร่วมสายเลือดแม่ เป็นศัตรูคนสำคัญ อยู่มาวันหนึ่งเมดูซ่าที่เป็นสาวงาม มีชายหลายคนหมายปองเป็นเจ้าของ ก็ได้ไปบูชาเทพเอเธน่ายังวิหารของเอเทน่า แล้วเทพโพไซดอน (Poseidon) ก็เห็นเมดูซ่าที่มีหน้าตาสวยงามมาก จึงต้องการครอบครองเมดูซ่าเป็นของตน จึงใช้กำลังขืนใจเมดูซ่า อาเทน่าเห็นดังนั้นจึงใส่ความเมดูซ่าว่า ลบหลู่เอเธน่าในวิหารศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ และสาบเมดูซ่าให้กลายเป็นมารร้ายหน้าตาน่าเกลียด และสาบให้ผมสวยงามของเมดูซ่าเป็นงูเต็มหัวเมดูซ่า เมื่อเป็นเช่นนี้เมดูซ่าต้องได้รับความอับอาย โกรธแค้นจึงได้ใช้ความเกลียดชังนั้นมาเป็นพลังในการสาบคนที่มองหน้าเธอให้กลายเป็นหินไป เพื่อตอบแทนสิ่งที่ทำให้เธอกลายเป็นเช่นนี้ เมดูซ่าจึงกลายเป็นมารร้ายที่สุดตนนึงในตำนานกรีก

เพกาซัส (Pegasus หมายถึง แข็งแรง) เป็นสัตว์ในเทพนิยายกรีก เป็นม้าร่างกำยำพ่วงพีสีขาวบริสุทธิ์ และมีปีกอันกว้างสง่างามเหมือนนกพิราบ (ไม่ใช่ยูนิคอร์น ตัวยูนิคอร์นมีเขา)
ประวัติของเพกาซัส เริ่มมาจากนางกอร์กอน เมดูซ่า นางคนนี้มีความร้ายกาจมากแต่ก็ถูกวีรบุรุษ เปอร์ซีอุล ฟันคอขาดตาย ในขณะที่ นางสิ้นใจตายนั้น มีร่างของม้ากำยำพ่วงพี พร้อมด้วยปีกอันกว้างสง่างาม กระโจนออกมา จากลำคอของนาง ม้าตัวนั้นก็คือ เพกาซัส นั่นเอง เมื่อออกมาแล้วมันก็แผลงฤทธิ์ จนไม่มีใครสามารถปราบได้เลยซักคน ทั้งที่เพกาซัสเป็นความหวัง ของคนทั้งเมือง นอกจากความเก่งกล้าในฝีตีนและฝีปีกแล้ว เพกาซัสยังมีควาสมารถอีกอย่าง คือตอนที่มันเกิดมาใหม่ๆ และออกวิ่งอย่างคึกคนอง นั้น น้ำที่กระเซ็นจากรอยเท้า ที่มันวิ่ง ก่อให้เกิดน้ำพุสวยงาม ที่กวีและศิลปินชื่นชมกันนักหนา คือน้ำพุ ฮิปโปครีนี (Hippocrene) ที่เป็นที่รู้จักกันในวรรณคดีกรีกโบราณ ว่ากันว่า ใครได้ดื่มน้ำพุนี้แล้ว โอกาสที่จะเป็นกวีเอกอยู่แค่เอื้อมที่เดียว เพกาซัสคึกอยู่ ได้ไม่นาน ก็มีคนดีมาปราบ เป็นเด็กหนุ่มรูปหล่อชาวเมืองโครินทร์มีนามว่า "เบลเลอโรฟอน (Bellerophon) 

วันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556


วันสมโภชนักบุญทั้งหลาย

    ตามปฏิทินสากลของพระศาสนจักรคาทอลิก เราสมโภชนักบุญทั้งหลายในวันที่ 1 พฤศจิกายน แต่เนื่องจากวันสมโภชนี้เป็น วันฉลองบังคับ พระศาสนจักรในประเทศไทยไม่สามารถสมโภชตรงวันได้ (ถ้าวันที่ 1 พฤศจิกายนเป็นวันธรรมดา) จึงเลื่อนการสมโภชนักบุญทั้งหลายมาสมโภชในวันอาทิตย์ถัดจากวันที่ 1 พฤศจิกายน (ยกเว้นถ้าวันที่ 1 พฤศจิกายน ตรงกับวันอาทิตย์ก็สมโ ภชตรงวัน)

ประวัติความเป็นมา    จุดกำเนิดของการสมโภชนี้มาจากพระศาสนจักรตะวันออก ได้มีการฉลองมรณสักขีทั้งหลายในตอนต้นศตวรรษที่ 4 ซึ่ง การกำหนดวันฉลองนี้แตกต่างกันไปตามพระศาสนจักรท้องถิ่นในแต่ละแห่ง
 ที่กรุงโรม พระสันตะปาปาบอนิฟาสที่ 4  (ค.ศ. 608-615)  ได้กำหนดการฉลองนี้ในวันที่  13 
พฤษภาคม เมื่อพระสันตะปาปาได้รับวิหารของคนต่างศาสนา คือ พานเทออน (ซึ่งไม่ได้ใช้มากว่า 100 ปี)  เป็นของขวัญจากจักรพรรดิโพคาส  และในวันที่ 13 พฤษภาคม  ปี  ค.ศ. 609  พระองค์ได้ อภิเษกวิหารนี้ให้เป็นวัดของคริสตชน เพื่อเทิดเกียรติพระนางพรหมจารีมารีย์และบรรดามรณสักขีทั้ง
หลาย 
พระสันตะปาปาเกรโกรีที่ 3 (ค.ศ. 731-741) ทรงสร้างวัดน้อยในมหาวิหารนักบุญเปโตรเพื่อถวายเกียรติแด่นักบุญทั้งหลาย และทรงกำหนดให้มีการฉลอง
ประจำปีในวันที่ 1 พฤศจิกายน 
พระสันตะปาปาเกรโกรีที่  4 (ค.ศ. 828-844) ทรงขยายการสมโภชนักบุญทั้งหลายในวันที่ 1 
พฤศจิกายนไปทั่วพระศาสนจักร

วันจันทร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2556

People only get jealous
When they care.

คนเราจะรู้สึกอิจฉา
ก็ต่อเมื่อเราใส่ใจใครคนนั้นจริง ๆ เท่านั้น
Experience tells you what to do;
Confidence allows you to do it.

ประสบการณ์จะทำให้คุณรู้ว่าคุณควรทำอะไร
แต่ความมั่นใจจะทำให้คุณกล้าลงมือทำ
Never take for granted 
All the things you have today
And most of all,
Enjoy what you have everyday.

อย่าทำให้วันของคุณสูญเปล่า
จงมีความสุขกับสิ่งที่คุณมีในทุก ๆ วัน
Do not allow what you cannot do,
Interfere with what you can do.
You can reach your dreams faster
Doing things you're good at.

อย่าปล่อยให้สิ่งที่คุณทำไม่ได้
มาเป็นอุปสรรคในการทำสิ่งที่คุณทำได้
คุณสามารถเอื้อมคว้าความฝันให้เร็วขึ้นได้
หากเลือกทำในสิ่งที่คุณรัก
You can't make someone else's choices 
so you shouldn't let someone else make yours.
Follow your heart.

เราไม่อาจตัดสินใจแทนคนอื่นได้
เราจึงไม่ควรปล่อยให้คนอื่นมาตัดสินใจแทนเราเช่นกัน
เพราะฉะนั้น จงทำตามหัวใจเรียกร้องเถอะ

เทศกาลปามะเขือเทศ หรือ เรียกว่า La Tomatina ในภาษาสเปน ซึ่งเป็นการเฉลิมฉลอง เริ่มปามะเขือเทศใส่หัวกัน ในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนสิงหาคมของทุกปี ที่เฉพาะเมือง บุนโยล (Bunyol) ทางภาคตะวันออกของสเปน ซึ่งอยู่ห่างจากบาเลนเซียไป 30 กิโลเมตร เทศกาลปามะเขือเทศนี้ ดุเดือด เข้มข้น ด้วย “ศึกปามะเขือเทศ” ซึ่งจะจัดขึ้นในวันพุธของสัปดาห์นั้น คนที่มาร่วมงานเทศกาลนี้ ทั้งชาวเมืองเอง และผู้มาเยือน ต่างก็ปามะเขือเทศใส่กันอย่างสนุกสนาน 

ประเพณีปาส้ม จุดกำเนิดของประเพณีปาส้มนั้น ยังไม่มีใครทราบแน่ชัด แต่มีการสันนิษฐานว่าอาจมาจาก 2 กรณีกรณีแรกคือ มาจากการที่ประชาชนขว้างอาหารเน่าเสียที่ขุนนางนำมาแจกจ่ายให้ใส่บรรดาขุนนางเหล่านั้นเพื่อระบายความโกรธแค้น และอีกกรณีหนึ่งที่ถูกเล่าต่อกันมาอย่างกว้างขวางก็คือ เมื่อราวคริสต์ศตวรรษที่ 12 มีเจ้าเมืองชื่อว่าท่านเค้าท์ราเนรี ชอบข่มเหงชาวเมืองด้วยการลักพาตัวหญิงที่กำลังจะแต่งงานไปข่มขืนเป็นภรรยาของตน และวันหนึ่งท่านเค้าท์ก็ได้ไปลักพาตัวลูกสาวเจ้าของโรงโม่นามว่า ไวโอเล็ตต้า แต่ปรากฎว่าไม่สำเร็จ เพราะไวโอเล็ตต้าต่อสู้กับท่านเค้าท์และสุดท้ายเธอก็สามารถตัดศีรษะท่านเค้าท์มาประจานได้ เป็นที่น่ายินดีของชาวเมืองเป็นอย่างยิ่ง ส่วนทางทหารของท่านเค้าท์ เมื่อรู้ข่าวจึงรีบไปจับตัวไวโอเล็ตต้าทันที แต่ก็ไม่สำเร็จเช่นกันเพราะถูกชาวเมืองช่วยกันปาหินใส่ทหารเหล่านั้น หลังจากนั้นมา ประเพณีปาส้มใส่ทหารก็ถูกจัดขึ้นเพื่อระลึกถึงความกล้าหาญของไวโอเล็ตต้า ที่นำอิสรภาพมาสู่ชาวเมือง


หลายประเทศในแทบยุโรปนั้นมี วัฒนธรรมการดื่มเบียร์ เป็นกิจวัฒน์ประจำวันโดยเฉพาะชาวเยอรมัน การดื่มเบียร์ของชาวเยอรมันที่ปฏิบัติมาตั้งแต่ก่อนศตวรรษที่ ๑๙ คือ ในวันที่มีอากาศดี ครอบครัวชาวเยอรมันจะมานั่ง ดื่มเบียร์ ในสวน แกล้มอาหารอร่อยๆ เคล้าเสียงเพลงเร้าใจ ซึ่งต่อมาวัฒนธรรมนี้เป็นที่รู้จักกันในลักษณะของ เทศกาลลานเบียร์ หรือ เบียร์การ์เด้น ( Beer Garden ) ซึ่ง เทศกาลลานเบียร์  หรือ  เบียร์การ์เด้น ที่จัดได้ใหญ่ที่สุด และเป็นที่รู้จักกันทั่วโลก เทศกาลลานเบียร์ เบียร์การ์เด้นใน เทศกาลออคโทเบอร์เฟสต์ (Octoberfest) โดยจะจัดปลายเดือนกันยายนของทุกปี ที่ เมืองมิวนิค (Munich) ประเทศเยอรมนี จึงกลายเป็นจุดต้น กำเนิดลานเบียร์ ที่มาของลานเบียร์ เทศกาลลานเบียร์

เทศกาลกินเจเดือนเก้า หรือ เทศกาลกินเจ (เก้าอ๊วงเจ หรือ กิวอ๊วงเจ) เป็นประเพณีที่สืบทอดกันมาช้านานของชาวจีน โดยจะกำหนดเอาวันตามจันทรคติ คือ เริ่มตั้งแต่ วันขึ้น 1 ค่ำ ถึงวันขึ้น 9 ค่ำ ตามปฏิทินจีนของทุกๆ ปี รวม 9 วัน 9 คืน ผู้คนส่วนหนึ่งจะไม่กินเนื้อสัตว์   ทำให้ได้ช่วยชีวิตสัตว์ไว้ได้ส่วนหนึ่ง   เนื่องจากมีการฆ่าสัตว์น้อยลง    ผู้คนที่ศรัทธาในพุทธศาสนาจะพากันสละกิจโลกียวัตร  และ พากันเข้าวัดวาอารามบำเพ็ญศีลสมาทาน   กินเจ  คือ บริโภคแต่อาหารจำพวกพืชผัก และ ผลไม้เป็นหลัก    ละเว้นไม่กระทำกิจใด ๆ อันนำมาซึ่งการเบียดเบียนเดือดร้อนให้เกิดแก่สัตว์โลก   คือการไม่เอา ชีวิต เลือด เนื้อของสัตว์โลกให้มาเป็นของเรา   พากันซักฟอกมลทินออกจากร่างกาย วาจา และ ใจ  สวมเสื้อผ้าขาวสะอาด   เข้าวัดเข้าวา  พร้อมด้วยดอกไม้ธูปเทียน   ทำบุญทำทานแก่สัตว์โลกผู้ยากไร้   ถือศีลกิจเจเป็นเวลา  9  วัน ผู้ถือศีลกินเจ จะมีการชำระกระเพาะให้สะอาดก่อน  โดยการกินเจในมื้อเย็นก่อนวันจริง  1  มื้อ และ  มื้อเช้าหลังวันที่เก้าขึ้น  9  ค่ำอีก  1  มื้อเป็นการลา  ซึ่งจะเป็นวันส่งเจ้า  ในช่วง  9  วันนี้  ทุกวันคี่ จะถือเป็นวันเจใหญ่  พุทธบริษัทจะไปทำบุญ และ กินเจที่ศาสนสถาน  นอกนั้นจะถือศีลกินเจที่บ้านเทศกาลกินเจ    มาจากคำบอกเล่าที่เล่าต่อ ๆ กันมาเป็นเชิงปรำปรา  และ มาจากคำสอน ความเชื่อทางศาสนาพุทธ   ฝ่ายนิกายมหายาน  เป็นกุศโลบายให้คนทำความดี  เหมือนเช่นเรื่องอื่นๆ    แต่คนรุ่นหลังได้มีการเพิ่มเติมเสริมแต่งพิธีการ เพื่อให้เกิดความขลัง  ให้มีความน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น   จึงทำให้กลายเป็นพิธีการที่ต้องใช้เงินใช้ทองมากมายในการประกอบพิธีให้ครบถ้วน

วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2556

Good things can come
    From unexpected places.

   บางครั้งสิ่งดี ๆ ก็อาจมาจากที่ซึ่งคุณคาดไม่ถึง

Never give up on something you really want.
However impossible things my seem,
There's always a way.

อย่ายอมแพ้ที่จะทำตามฝัน
แม้ว่ามันดูยากเกินจะเป็นความจริงได้
จำไว้เถอะว่า ทุกอย่างมีหนทางและความเป็นไปได้ด้วยกันทั้งนั้น
Happiness is an attitude.
We either makes ourselves miserable or happy and strong.
It is your choice.

ความสุขเป็นเพียงทัศนคติหนึ่ง
เราจะทำชีวิตให้เศร้า สุข หรือเข้มแข็ง
ขึ้นอยู่กับเราเลือกที่จะเป็น

Sometimes you wish you could just fast forward the time
Just to the see if in the end
It's all worth it.

บางครั้งเราก็อยากให้เวลาผ่านไปเร็ว ๆ
เพื่อจะได้รู้ว่าที่เราพยายามเพื่ออนาคตนั้น
มันคุ้มค่าหรือไม่

วันพุธที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2556

   
ทะเลสาบโมโน (Mono Lake)
ทะเลสาบโมโน แห่งรัฐแคลิฟลอเนีย สหรัฐอเมริกาเป็นทะเลสาบที่ไม่มีทางออกสู่มหาสมุทร ทำให้น้ำในทะเลสาบมีความเค็มอยู่มาก ซึ่งปริมาณเกลือในทะเลสาบแห่งนี้เองที่ก่อให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมแก่การเจริญเติบโตของบรรดากุ้ง ในทุก ๆ ฤดูจึงมักจะมีฝูงนกนับพันตัวบินถลาลงมาหากุ้งกินเป็นอาหาร 



ภูเขาช็อกโกแลต (Chocolate Hills)
สำหรับสถานที่สุดแปลกบนโลกของเราอีกที่หนึ่งคงจะหนีไม่พ้น ภูเขาช็อกโกแลต แห่งเกาะโบโฮล สถานที่ท่องเที่ยวอันโด่งดังของประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งภูเขานับ 1,268 ลูกที่เรียงรายอยู่นั้นมีลักษณะเป็นรูปทรงกรวยคว่ำเหมือนกัน ทั้งยังมีขนาดที่ใกล้เคียงกันในช่วงความสูงตั้งแต่ 30-50 เมตร อย่างไรก็ดีสำหรับชื่อภูเขาช็อกโกแลตของสถานที่แห่งนี้ มีที่มาจากสภาพของต้นหญ้าสีเขียวที่ขึ้นคลุมภูเขาแต่ละลูกจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลในฤดูแล้ง นอกจากนี้ ในประเทศฟิลิปปินส์ยังได้มีตำนานหนึ่งที่เล่าถึงต้นกำเนิดของภูเขาช็อกโกแลตด้วยว่า ภูเขาเหล่านี้เป็นสิ่งที่หลงเหลือจากการต่อสู้กันระหว่างยักษ์ทั้ง 2 ตัว ซึ่งยักษ์ตัวหนึ่งได้ล้มตายจากการต่อสู้นั้น ยักษ์ที่เป็นคู่รักของมันจึงได้ร้องไห้จนหยดน้ำตาหล่นร่วงบนพื้นดินแล้วเกิดเป็นภูเขาแต่ละลูกนั่นเอง
 อุทยานแห่งชาติ กาไนย์มา เวเนซูเอลา



น้ำตกที่สูงที่สุด คือ น้ำตกแองเจล (Angel Fall) อยู่ในทวีปอเมริกาใต้ บริเวณประเทศเวเนซูเอลา มีความสูงประมาณ 3,212 ฟุต ชาวพื้นเมืองในVenezuela เริ่มรู้จัก Salto Angel ตั้งแต่ Jimmie Angel นักบินสหรัฐบินผ่านเหนือพื้นที่นี้ในปี 1935 เมื่อเขาลงสู่พื้นดินบนยอดของภูเขาเดี่ยวที่ค้นหาทองคำ เครื่องบินของเขาติดในป่ารกที่เป็นหนองน้ำบนยอดเขา และ เขาประกาศน้ำตกที่สวยงามตระการตาอันน่าประทับใจที่โถมดิ่งลงมาสู่พื้นหลายพันฟุต เขาต้องทรมานกับการเดินทางหลายวันด้วยเท้าประมาณ 11 ไมล์ เพื่อกลับตัวเมืองเครื่องบินของเขายังคงติดอยู่บนเขาเป็นอนุสาวรีย์การค้นพบของเขา ในไม่ช้าทั่วโลกที่ต้องการรู้เกี่ยวกับน้ำตก ก็มารู้จัก Angel Falls หลังจากการค้นพบของนักบิน

วันอังคารที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2556

หินไข่ไดโนเสาร์ เมืองโอมารู ประเทศนิวซีแลนด์



หินไข่ไดโนเสาร์



หินไข่ไดโนเสาร์



หินไข่ไดโนเสาร์ หรือ หินโมรากิ


หินไข่ไดโนเสาร์ ซึ่งมีอายุกว่า 4 ล้านปี ตั้งอยู่บนชายหาดใกล้กับหมู่บ้านชาวประมง ชายฝั่งทางตอนใต้ของ เมืองโอมารู (Oamaruเมืองที่ใหญ่ที่สุดในเขตนอร์ทโอทาโก และเกาะใต้ ประเทศนิวซีแลนด์ 
หินไข่ไดโนเสาร์ หรือ หินโมรากิ เป็นกลุ่ม หินประหลาด ที่เกิดจากปรากฏการณ์ธรรมชาติของหินดินดานที่ถูกคลื่นลมซัด กัดกร่อน กลายเป็นหินทรงกลมขนาดใหญ่ ขนาดเส้นศูนย์กลางประมาณ 0.5 – 1 เมตร และ 1.5 – 2.2 เมตร สร้างความตื่นตาให้แก่ผู้พบเห็น หินไข่ไดโนเสาร์ จึงเป็นส่วนหนึ่งที่ดึงดูดใจนักท่องเที่ยวให้มาเยือนหาดแห่งนี้

วันอังคารที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ซาปา ธรรมชาติแดนเหนือ เวียดนาม



ซาปา (Sa Pa) ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศเวียดนาม ในเขตจังหวัดลาวไค ใกล้กับชายแดนจีน ภูมิประเทศตั้งอยู่บนระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 1,650 เมตร จึงมีอากาศหนาวเย็นตลอดปี ทำให้เพาะปลูกผักผลไม้ได้ดี 
ซาปา เมืองเล็กๆ แห่งนี้เริ่มต้นเป็นเมืองแห่งการพักผ่อน เมื่อฝรั่งเศสซึ่งปกครองเวียดนามอยู่ในขณะนั้น ได้มาสร้างสถานีบนภูเขาขึ้นในปี พ.ศ.2465 จากนั้น จึงเริ่มมีชาวต่างชาติซึงอยู่ในฮานอย มาพักผ่อนในช่วงวันหยุดเป็นประจำ เพราะอากาศดีและเงียบสงบ จนเมื่อนักเดินทางได้รับข่าวและมาเห็นถึงบรรยากาศจริงๆ รวมไปถึงเหล่านักเดินทางจากทั่วโลกก็ได้รับสารเหล่านี้เช่นกัน นั่นจึงทำให้ปัจจุบัน ซาปา ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก 
ถ้ำขลุ่ยอ้อ กุ้ยหลิน ความงามหินงอกใต้บาดาล



ถ้ำขลุ่ยอ้อ กุ้ยหลิน ความงามหินงอกใต้บาดาล
















ถ้ำขลุ่ยอ้อ (Reed Flute Cave) มีชื่อภาษา จีนกลางว่า “หลูตี๋เหยียน” ตั้งอยู่ชานเมืองกุ้ยหลิน อยู่ห่างจากตัวเมืองไปทางตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 5 กิโลเมตรที่มาของชื่อ ถ้ำขลุ่ยอ้อ มาจากของต้นอ้อที่ขึ้นอยู่ด้านหน้าถ้ำเป็นจำนวนมาและในอดีตนิยมเอาต้นอ้อมา ทำขลุ่ย จึงป็นที่มาของชื่อ “ถ้ำขลุ่ยอ้อ” ภายในมีหินงอกหินย้อยงดงามตลอดทาง มีภาพเขียนสีโบราณสมัยราชวงศ์ถัง มีการทำทางเดินและประดับประดาไฟภายในถ้ำ เพื่อให้สามารถชมความงามของหินงอกหินย้อยภายในถ้ำ หินงอกหินย้อยภายในถ้ำแห่งนี้มีชื่อเรียกแตกต่างกันไปตามที่คนในท้องถิ่นตั้งไว้ตามรูปร่างอันวิจิตรตระการตา อาทิ วังแก้วแห่งราชามังกร ที่คล้ายกับเมืองกุ้ยหลินบริเวณแม่น้ำหลีเจียงและหินงอกหินย้อยรูปร่างแปลกๆ อีกมากมายตามแต่จินตนาการแต่ที่เป็นไฮไลท์ที่สุดของถ้ำขลุ่ยอ้อก็คือ “วังบาดาล” ที่เป็นวังน้ำมีหินงอกหินย้อย ทอดเงาตกสะท้อนลงในวังน้ำ ภายใต้แสงไฟสีน้ำเงินที่ส่องประดับ ท่ามกลางโถงถ้ำขนาดใหญ่ ดูแล้ววิจิตรงามดายิ่งนัก ส่วนช่วงสุดท้ายของถ้ำขลุ่ยอ้อก็ถือว่าน่าสนใจยิ่ง เพราะมีกินรูปคล้ายสิงโตตั้งตระหง่านคอยส่งแขก

วันอังคารที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2556




  น้ำพุเทรวี  (อิตาลี: Fontana di Trevi, อังกฤษ: Trevi Fountain') เป็นน้ำพุที่ตั้งอยู่ที่เทรวี
ริโอเนในกรุงโรมในประเทศอิตาลี      เป็นน้ำพุที่มีความสูง 25.9 เมตร (85 ฟุต) และกว้าง 19.8 เมตร (65 ฟุต)และน้ำพุแบบบาโรกที่ใหญ่ที่สุดในกรุงโรม น้ำพุเทรวีตั้งอยู่ตรงทางสามแพร่ง   (tre vie)ที่เป็นจุดจบของสะพานส่งน้ำแวร์จิเน(Acqua Vergine) “สมัยใหม่”, สะพานส่งน้ำเวอร์โก (Aqua Virgo)   และสะพานส่งน้ำของโรมันโบราณ ในปี 19 ก่อนคริสต์ศักราช มีตำนานที่ว่าเจ้าหน้าที่โรมันพบแหล่งน้ำสะอาดราว 13 กิโลเมตร จากตัวเมืองด้วยความช่วยเหลือของสาวพรหมจารี (ภาพนี้ปรากฏอยู่ด้านหน้าของน้ำพุปัจจุบัน)แต่เมื่อสร้างสะพานส่งน้ำขึ้นสะพานก็ยาวถึง 22กิโลเมตร สะพานส่งน้ำ “สะพานส่งน้ำเวอร์โก” นี้ส่งน้ำมายังโรงอาบน้ำของมาร์คัส วิพซานิอัส อกริพพา และใช้เป็นสะพานส่งน้ำสำหรับเมืองโรมเป็นเวลากว่าสี่ร้อยปีการเปลี่ยนวิถีชีวิตของชาวเมืองโรมเกิดขึ้นเมื่อชนกอธที่ล้อมกรุงโรมระหว่างปี ค.ศ. 537 ถึงปี ค.ศ. 538 ทำลายสะพานส่งน้ำ โรมันยุคกลางจึงต้องหันมาใช้น้ำจากบ่อและจากแม่น้ำไทเบอร์ซึ่งใช้เป็นท่อระบายน้ำโสโครกไปด้วย
ประเพณีโรมันคือการสร้างน้ำพุอันสง่างามตรงปลายสุดของสะพานส่งน้ำ   มารื้อฟื้นกันอีกครั้งในคริสต์ศตวรรษที่ 15 ในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา ในปี ค.ศ.1453 สมเด็จพระสันตะปาปานิโคลัสที่ 5 ก็ทรงซ่อมสะพานส่งน้ำแวร์จิเนเสร็จและทรงสร้างอ่างน้ำพุง่ายๆ  ที่ออกแบบโดยสถาปนิกมนุษย์นิยมลีออน บาตติสตา อัลเบอร์ติเพื่อเป็นการฉลองน้ำที่มาถึง



วันศุกร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2556


สะพานทาวเวอร์บริดจ์





 
สะพานทาวเวอร์บริดจ์ (Tower Bridge)
ตั้งอยู่ข้างหอคอยลอนดอนสร้างขึ้นระหว่างปี ค . ศ. 1886 - 1894 ใช้เวลาสร้าง 8 ปี เพื่อการสัญจรข้ามแม่น้ำเทมส์ ออกแบบสไตล์วิกตอเรียนโกธิก เป็นสะพานแบบเปิดปิดได้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีชื่อเสียงมากที่สุดของประเทศอังกฤษโดยนักท่องเที่ยวสามารถเดินขึ้นไปชม ความงามของเมืองลอนดอนได้ที่ระดับ 140 ฟุต มีถนน 18 สายที่ข้ามสะพานนี้สร้าง ขึ้นเหนือแม่น้ำเทมส์ โดยสะพานแห่งนี้ ไม่เพียงแต่เป็นจุดชมวิว ที่มีความสูงถึง 140 ฟุต เท่านั้น แต่ภายในของฐานสะพานที่ถูกสร้างขึ้นให้มีลักษณะเป็นหอสูง ยังเป็นที่ที่จัดนิทรรศการ เกี่ยวกับประเทศอังกฤษ จนถึงมีจัดแสดงห้องอบไอน้ำสมัยวิกตอเรียนด้วยการเปิดสะพานในแต่ละครั้งจะส่งผลทำให้คนที่ต้องการเดินข้ามสะพานในขณะที่ สะพานชักขึ้นต้องเดินขึ้นบันไดเพื่อไปยังหอคอยด้านบน โดยมีบันไดถึง 300 ขั้นเพื่อไปข้างบน โดยปัจจุบันมีทัวร์เดินชมสะพานนี้โดยใช้เวลาในการเดินชมประมาณ 90 นาที รวมถึงเวลาในการชมวิวทิวทัศน์บนทางเท้าที่สูงถึง 40 เมตร โดยทางเข้าเพื่อขึ้นบันไดจะอยู่ทางใต้ของท่าเรือทางเหนือ

อินเตอร์ลาเคน  (Interlaken) สวิตเซอร์แลนด์
อินเตอร์ลาเคน  (Interlaken) สวิตเซอร์แลนด์, ยุโรป
เมืองอินเตอร์ลาเคน  (Interlaken) ตั้ง อยู่ที่เหนือระดับน้ำทะเล 570 เมตร (1,870ฟุต) อยู่ระหว่าง 2 ทะเลสาบ คือ ทะเลสาบเบรียนซ์ (Lake Brienz) และ ทะเลสาบทูน (Lake Thun) พื้นที่ส่วนใหญ่ของเมืองมักถูกโอบล้อมไปด้วยภูเขา ทุ่งหญ้า ทะเลสาบ และสวนผลไม้  อีกทั้งยังเป็นทางขึ้นยอดเขาที่จะทำให้คุณเห็นธารน้ำแข็งซึ่งได้รับการขึ้น ทะเบียนเป็นมรดกโลก นอกจากนี้ยังเป็นจุดที่สามารถมองเห็นยอดเขา 3แห่ง คือ ยอดเขาจุงฟราวน์ (Jungfrau) ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดคือ 4,158 เมตร ยอดเขา Monch มีความสูง 4,099 เมตร และยอดเขา Eiger มีความสูง 3,970เมตร สถานที่ตากอากาศชั้นนำส่วนใหญ่ในถิ่นที่เรียกกันว่า Bernese Oberland จึงตั้งอยู่บริเวณ 3 เขานี้ ทิวทัศน์แถบนี้จึงบริสุทธิ์และสวยงามเกินคำบรรยาย ทำให้เป็นสถานตากอากาศที่นักท่องเที่ยวจากทุกมุมโลกชื่นชอบมากที่สุด จึงไม่แปลกที่จะเรียกได้ว่า "สวยเหมือนเมืองในฝัน"

วังน้ำเขียวสวิตเซอร์แลนด์แดนอีสาน



วังน้ำเขียวสวิตเซอร์แลนด์แดนอีสาน

วังน้ำเขียวสวิตเซอร์แลนด์แดนอีสาน

สถานที่ท่องเที่ยวที่อยู่ใกล้กรุงเทพอีกแห่งที่มีบรรยากาศเย็นสบายตลอดปี ไม่ต่างจากดินแดนในภาคเหนือ ก็คือวังน้ำเขียวเมืองแห่งการท่องเที่ยวอีกแห่ง ที่คุณสามารถเดินทางไปสัมผัสได้ทั้ง 3 ฤดู และเป็น 3 สีสันที่แตกต่าง คุณสามารถเดินทางมาท่องเที่ยวที่สถานที่ท่องเีที่ยวในเมืองนี้ได้ตลอดปี โดยเฉพาะหน้าฝนที่พร่างพรมความชุ่มฉ่ำไปทั่ว ขับรถใกล้ ๆ มาท่องเที่ยววังน้ำเขียว สีเขียวของผืนป่าปกคลุมไปทั่ว สมแล้วที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในแหล่งโอโซนที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลกด้วยลักษณะทั่วไปของวังน้ำเขียวที่เป็นภูขาสูงต่ำแบบลูกคลื่น สลับกับที่ราบกว่าร้อยละ 90 ของพื้นที่ทั้งหมด และมีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางเฉลี่ยอยู่ที่ 200 – 700 เมตร ทำให้อำเภอวังน้ำเขียวมีสภาพอากาศที่ค่อนข้างเย็นสบาย แม้ในฤดูร้อนยังมีอุณหภูมิสูงสุดเพียงแค่ 30 องศาเซลเซียสเท่านั้น นอกจากนี้เมื่อถึงฤดูหนาวสถานที่ท่องเีที่ยวแห่ง นี้ก็เย็นสบายไม่หนาวจัดจนเกินไป อุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 9 องศาเซลเซียส ประกอบกับฤดูฝนที่ฝนนตกติดต่อกันมายาวนานถึง 5 เดือน ตั้งแต่มิถุนายน – ตุลาคม ทำให้วังน้ำเขียวมีสภาพอากาศที่เย็นสบายตลอดปี จึงเป็นที่มาที่ทำให้สถานที่ท่องเีที่ยวแห่งนี้ได้ถูกเรียกขานว่า “สวิตเซอร์แลนด์แดนอีสาน”



ปรากฏการณ์ธรรมชาติ ไอส์ เซอร์เคิ่ล ( Ice Circle )



 




Ice Circle ไอส์ เซอร์เคิ่ล เป็น ปรากฏการณ์ธรรมชาติ ที่พบเห็นได้ยาก และสมมุติฐานที่เป็นที่ยอมรับกันถึงสาเหตุการเกิดปรากฏการณ์ธรรมชาติ ไอส์ เซอร์เคิ่ล นี้เกิดจากการที่ ผิวน้ำเริ่มก่อตัวเป็น น้ำแข็งจากบริเวณกึ่งกลางของผิวน้ำ แล้วค่อยๆก่อตัวตามขอบเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และต้องประกอบกับแหล่งน้ำจะต้องไหลเอื่อยๆ เพื่อให้เกิด น้ำแข็ง สามารถก่อตัวบริเวณขอบ ขณะหมุนขยายตัวออกมาเรื่อยๆ จนไปชนกับขอบน้ำแข็งแผ่นอื่นๆ ไอส์ เซอร์เคิ่ล บางแผ่นมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 150 เมตร อาจจะพบอยู่เดี่ยวๆ หรือเป็นกลุ่มก็ได้