วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ในตำนานของกรีกนั้น เมดูซ่า (อังกฤษ: Medusa) เป็นผู้หญิงที่มีผมเป็นงู และเมื่อมีคนมองมาที่ใบหน้าเธอ (จ้องตา) คนผุ้นั้นจะกลายเป็นหิน ที่จริงแล้วก่อนที่เมดูซ่าจะมีความร้ายกาจดังที่เป็นที่เล่าขานกันมานั้น เมดูซ่านั้นเป็นหญิงสาวที่มีหน้าตาสวยงามมาก
เมดูซ่า เป็นหนึ่งในลูกสาวทั้งสามของ เมทิสซึ่งเมทิสเป็นเจ้าแห่งสติปัญญาและสามารถแปลงร่างเป็นสิ่งต่างๆได้มากมาย แต่เดิมลูกทั้ง 3 ของเมทิสเป็นคนที่สวยงามมาก แต่แล้ววันหนึ่งเมทิสแม่ของเมดูซ่าถูกเทพ ซุส (Zeus) ข่มขืนและกลืนกินลงท้องไป และซุสจึงได้ใช้สติปัญญาและความสามารถทางการแปลงร่างของเมทิสเพิ่มอำนาจให้กับตนเอง พลังอำนาจนั้นทำให้เทพซุสยิ่งใหญ่เหนือเทพทั้งปวง และต่อมาเทพธิดา อาเธน่า (Athena) ได้ถือกำเนิดขึ้นมาจากการที่พลังของเมทิสทะลักออกมาทางหน้าผากของซุส เมื่อเอเธน่าได้กำเนิดขึ้นพร้อมกับความสามารถทางสติปัญญาของเมทิสผู้เป็นแม่ และเอเธน่าก็ถือเมดูซ่าพี่น้องร่วมสายเลือดแม่ เป็นศัตรูคนสำคัญ อยู่มาวันหนึ่งเมดูซ่าที่เป็นสาวงาม มีชายหลายคนหมายปองเป็นเจ้าของ ก็ได้ไปบูชาเทพเอเธน่ายังวิหารของเอเทน่า แล้วเทพโพไซดอน (Poseidon) ก็เห็นเมดูซ่าที่มีหน้าตาสวยงามมาก จึงต้องการครอบครองเมดูซ่าเป็นของตน จึงใช้กำลังขืนใจเมดูซ่า อาเทน่าเห็นดังนั้นจึงใส่ความเมดูซ่าว่า ลบหลู่เอเธน่าในวิหารศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ และสาบเมดูซ่าให้กลายเป็นมารร้ายหน้าตาน่าเกลียด และสาบให้ผมสวยงามของเมดูซ่าเป็นงูเต็มหัวเมดูซ่า เมื่อเป็นเช่นนี้เมดูซ่าต้องได้รับความอับอาย โกรธแค้นจึงได้ใช้ความเกลียดชังนั้นมาเป็นพลังในการสาบคนที่มองหน้าเธอให้กลายเป็นหินไป เพื่อตอบแทนสิ่งที่ทำให้เธอกลายเป็นเช่นนี้ เมดูซ่าจึงกลายเป็นมารร้ายที่สุดตนนึงในตำนานกรีก

เพกาซัส (Pegasus หมายถึง แข็งแรง) เป็นสัตว์ในเทพนิยายกรีก เป็นม้าร่างกำยำพ่วงพีสีขาวบริสุทธิ์ และมีปีกอันกว้างสง่างามเหมือนนกพิราบ (ไม่ใช่ยูนิคอร์น ตัวยูนิคอร์นมีเขา)
ประวัติของเพกาซัส เริ่มมาจากนางกอร์กอน เมดูซ่า นางคนนี้มีความร้ายกาจมากแต่ก็ถูกวีรบุรุษ เปอร์ซีอุล ฟันคอขาดตาย ในขณะที่ นางสิ้นใจตายนั้น มีร่างของม้ากำยำพ่วงพี พร้อมด้วยปีกอันกว้างสง่างาม กระโจนออกมา จากลำคอของนาง ม้าตัวนั้นก็คือ เพกาซัส นั่นเอง เมื่อออกมาแล้วมันก็แผลงฤทธิ์ จนไม่มีใครสามารถปราบได้เลยซักคน ทั้งที่เพกาซัสเป็นความหวัง ของคนทั้งเมือง นอกจากความเก่งกล้าในฝีตีนและฝีปีกแล้ว เพกาซัสยังมีควาสมารถอีกอย่าง คือตอนที่มันเกิดมาใหม่ๆ และออกวิ่งอย่างคึกคนอง นั้น น้ำที่กระเซ็นจากรอยเท้า ที่มันวิ่ง ก่อให้เกิดน้ำพุสวยงาม ที่กวีและศิลปินชื่นชมกันนักหนา คือน้ำพุ ฮิปโปครีนี (Hippocrene) ที่เป็นที่รู้จักกันในวรรณคดีกรีกโบราณ ว่ากันว่า ใครได้ดื่มน้ำพุนี้แล้ว โอกาสที่จะเป็นกวีเอกอยู่แค่เอื้อมที่เดียว เพกาซัสคึกอยู่ ได้ไม่นาน ก็มีคนดีมาปราบ เป็นเด็กหนุ่มรูปหล่อชาวเมืองโครินทร์มีนามว่า "เบลเลอโรฟอน (Bellerophon) 

วันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556


วันสมโภชนักบุญทั้งหลาย

    ตามปฏิทินสากลของพระศาสนจักรคาทอลิก เราสมโภชนักบุญทั้งหลายในวันที่ 1 พฤศจิกายน แต่เนื่องจากวันสมโภชนี้เป็น วันฉลองบังคับ พระศาสนจักรในประเทศไทยไม่สามารถสมโภชตรงวันได้ (ถ้าวันที่ 1 พฤศจิกายนเป็นวันธรรมดา) จึงเลื่อนการสมโภชนักบุญทั้งหลายมาสมโภชในวันอาทิตย์ถัดจากวันที่ 1 พฤศจิกายน (ยกเว้นถ้าวันที่ 1 พฤศจิกายน ตรงกับวันอาทิตย์ก็สมโ ภชตรงวัน)

ประวัติความเป็นมา    จุดกำเนิดของการสมโภชนี้มาจากพระศาสนจักรตะวันออก ได้มีการฉลองมรณสักขีทั้งหลายในตอนต้นศตวรรษที่ 4 ซึ่ง การกำหนดวันฉลองนี้แตกต่างกันไปตามพระศาสนจักรท้องถิ่นในแต่ละแห่ง
 ที่กรุงโรม พระสันตะปาปาบอนิฟาสที่ 4  (ค.ศ. 608-615)  ได้กำหนดการฉลองนี้ในวันที่  13 
พฤษภาคม เมื่อพระสันตะปาปาได้รับวิหารของคนต่างศาสนา คือ พานเทออน (ซึ่งไม่ได้ใช้มากว่า 100 ปี)  เป็นของขวัญจากจักรพรรดิโพคาส  และในวันที่ 13 พฤษภาคม  ปี  ค.ศ. 609  พระองค์ได้ อภิเษกวิหารนี้ให้เป็นวัดของคริสตชน เพื่อเทิดเกียรติพระนางพรหมจารีมารีย์และบรรดามรณสักขีทั้ง
หลาย 
พระสันตะปาปาเกรโกรีที่ 3 (ค.ศ. 731-741) ทรงสร้างวัดน้อยในมหาวิหารนักบุญเปโตรเพื่อถวายเกียรติแด่นักบุญทั้งหลาย และทรงกำหนดให้มีการฉลอง
ประจำปีในวันที่ 1 พฤศจิกายน 
พระสันตะปาปาเกรโกรีที่  4 (ค.ศ. 828-844) ทรงขยายการสมโภชนักบุญทั้งหลายในวันที่ 1 
พฤศจิกายนไปทั่วพระศาสนจักร