วันอังคารที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ยล 10 เมืองน่าอยู่ของโลก เวียนนา ชนะเลิศ
ซิดนีย์ สวยงามสมกับอันดับเมืองน่าอยู่ระดับโลก
        ในโลกอันวุ่นวายยุ่งเหยิงแบบนี้ จะมีที่ใดบ้างหนอ ที่จะเป็นที่พำนักพักใจ เป็นเมืองน่าอยู่ ที่สวยงามทั้งธรรมชาติและศิลปวัฒนธรรม ทำให้คิดขึ้นได้ว่าเมื่อไม่นานมานี้ทาง Mercer สถาบันที่ปรึกษาการบริหารที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ในสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศรายชื่อ10อันดับเมืองน่าอยู่อาศัยที่สุดในโลก จากผลการสำรวจคุณภาพชีวิต ประจำปี 2009 ของ Mercer ที่ครอบคลุม 215 เมืองทั่วโลก
      
       ลองมาดูกันสักหน่อยว่า มีเมืองใดในโลกที่ติดอันดับบ้าง เริ่มจาก อันดับ 10 “เมืองซิดนีย์”(Sydney) ประเทศออสเตรเลีย ซิดนีย์ เป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่สุดในประเทศออสเตรเลีย มีประชากรราว 4.5 ล้านคน มีท่าเรือและชายหาดบอนได (Bondi Beach)ที่สวยงาม
      
       มีโรงโอเปร่า(Opera House)ที่มีชื่อเสียง เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่สุดของเมือง การออกแบบโครงสร้างของตัวโรงละคร ได้กลายเป็นหนึ่งในสถาปัตยกรรมที่โด่งดังของศตวรรษที่ 20 มีเพียง 2 ฤดูกาลที่เมืองซิดนีย์ ได้แก่ฤดูร้อน และฤดูหนาว แต่โดยปกติบรรยากาศจะเป็นแบบสบาย ๆ อุณหภูมิเฉลี่ย25 เซลเซียส
      
       นอกจากจะเป็นเมืองน่าอยู่อันดับ 10 ของโลกแล้ว Mercer ยังระบุว่า ซิดนีย์เป็นเมืองที่มีค่าครองชีพสูงเป็นอันดับ 15 ของโลกอีกด้วย
ยล 10 เมืองน่าอยู่ของโลก เวียนนา ชนะเลิศ
เมืองเบอร์น เมืองเก่ามากด้วยสถาปัตยกรรม
        อันดับ 9 “เมืองเบอร์น”(BERN) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เป็นเมืองหลวงของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ใจกลางเมืองนี้ยังคงเอกลักษณ์ของการเป็นเมืองเก่าแก่และเต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมในยุคกลาง จึงได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมจากองค์การยูเนสโก
      
       ที่สำคัญ เมืองเบอร์น ยังเป็นสถานที่ซึ่ง อัลเบิร์ต ไอน์ไตน์ เคยเข้ามาอาศัยและทำงานราวปี ค.ศ. 1903(พ.ศ. 2446) ปัจจุบัน บ้านของเขาซึ่งตั้งอยู่ เลขที่ 49 ถนนแครมกาซเซ่ (Kramgasse) ได้กลายเป็น พิพิธภัณฑ์บ้านไอน์ไตน์ ที่มีนักท่องเที่ยวทั่วโลกแวะมาเยี่ยมชมเป็นจำนวนมาก
ยล 10 เมืองน่าอยู่ของโลก เวียนนา ชนะเลิศ
เมืองแฟรงค์เฟิร์ต เมืองศูนย์กลางการเงินสำคัญระดับโลก
        อันดับ 8 “เมืองแฟรงค์เฟิร์ต”(Frankfurt) ประเทศเยอรมนี เป็นศูนย์กลางทางการเงินที่ใหญ่สุดในกลุ่มสหภาพยุโรป ทั้งยังเป็นที่ตั้งของธนาคารกลางยุโรป ตลาดหลักทรัพย์แฟรงค์เฟิร์ต และ German Federal Bank นอกจากความมั่งคั่งทางการเงินแล้ว เมืองนี้ยังมีเอกลักษณ์อันโดดเด่นอยู่ที่วิหารแบบโกธิค สมัยศตวรรษที่ 14 ขณะเดียวกันก็มีตึกระฟ้ารูปทรงทันสมัยและสวยงามตั้งตระหง่านบริเวณใจกลางเมืองอีกด้วย
ยล 10 เมืองน่าอยู่ของโลก เวียนนา ชนะเลิศ
มิวนิค เมืองที่ยังเห็นสถาปัตยกรรมแบบโกธิคได้
        อันดับ 7 “เมืองมิวนิค”(Munich) ประเทศเยอรมนี เป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศเยอรมนี และเป็นเมืองหลวงของรัฐบาวาเรีย มีประชากรราว 1.36 ล้านคน แม้จะเป็นเมืองที่เจริญและมั่งคั่งที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป แต่เมืองนี้ยังคงอนุรักษ์โบราณสถานและสถาปัตยกรรมอันเก่าแก่แบบโกธิคเอาไว้ ได้เป็นอย่างดี
ยล 10 เมืองน่าอยู่ของโลก เวียนนา ชนะเลิศ
แม่น้ำไรน์กับเมืองดึสเซลดอร์ฟ
        อันดับ 6 “ เมืองดึสเซลดอร์ฟ”(Dussselddorf) ประเทศเยอรมนี เป็นเมืองหลวงของรัฐนอร์ดไรน์-เวสท์ฟาเลิน ตั้งอยู่บนแม่น้ำไรน์ ได้ชื่อว่าเป็นเมืองศูนย์กลางทางด้านแฟชั่น โฆษณา และโทรคมนาคมของประเทศเยอรมนี นอกจากนี้ ทุกๆ ปี จะมีนักท่องเที่ยวกว่า 4.5 ล้านคนทั่วโลก เดินทางมาชมขบวนพาเหรดสุดอลังการ ในช่วงเทศกาลคาร์นิวาลของเมืองดึสเซลดอร์ฟ
ยล 10 เมืองน่าอยู่ของโลก เวียนนา ชนะเลิศ
เมืองอ๊อคแลนด์ เมืองแห่งความผสมผสานทางวัฒนธรรม
        อันดับ 4 ร่วม (คะแนนเท่ากัน 2 เมือง จึงไม่มีอันดับห้า) “เมืองอ๊อคแลนด์”(Auckland) ประเทศนิวซีแลนด์ อ๊อคแลนด์ ตั้งอยู่ทางเกาะเหนือ เป็นเมืองใหญ่ที่สุดและมีประชากรมากที่สุดในประเทศนิวซีแลนด์ ได้รับการขนานนามว่าเป็น "City of Sails" เนื่องจากมีท่าเทียบเรือที่สวยงามถึง 2 แห่ง คือ ท่าเรือ Waitemata ทางด้านทิศเหนือ และท่าเรือ Manukau ทางด้านทิศใต้
      
       ในภาษาเมารีอ็อคแลนด์มีชื่อว่า Tamaki-Makau-Rau แปลว่า หญิงสาวที่มีผู้มาขอความรักถึง 100 คน อ็อคแลนด์ได้สมญานามนี้มาจาก การที่เป็นภูมิภาคที่ชนเผ่าต่างๆ ต้องการครอบครอง บรรยากาศที่ผสมผสานกันของอ่าว หมู่เกาะ วัฒนธรรมโพลีนีเชี่ยนและความเป็นเมืองที่ทันสมัยก็ทำให้อ็อคแลนด์ติดอันดับเมืองน่าอยู่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
ยล 10 เมืองน่าอยู่ของโลก เวียนนา ชนะเลิศ
เมืองแวนคูเวอร์ยามราตรี
        อันดับ 4 ร่วม “เมืองแวนคูเวอร์”(Vancouver) ประเทศแคนาดา ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา "แวนคูเวอร์" มักได้รับการยกย่องว่าเป็นเมืองที่สะอาด และน่าอยู่ที่สุดในโลก เมืองดังกล่าวถือเป็นเมืองใหญ่ที่สุด และยังเป็นเมืองท่าชายฝั่งที่มีชื่อเสียงทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของรัฐบริติช โคลัมเบีย ประเทศแคนาดา
      
       ปัจจุบัน แวนคูเวอร์ เป็นศูนย์กลางด้านการช้อปปิ้ง และการถ่ายทำภาพยนตร์ ทั้งยังเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงและเป็นที่นิยมมากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก
ยล 10 เมืองน่าอยู่ของโลก เวียนนา ชนะเลิศ
เมืองเจนีวากับธรรมชาติอันงดงาม
        อันดับ 3 “ เมืองเจนีวา”(Geneva) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เจนีวา เป็นเมืองที่มีประชากรมากเป็นอันดับสองของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ (รองจากซูริค) โดยมีประชากรอาศัยอยู่ในเขตตัวเมืองราว 185,000 คน และยังเป็นศูนย์กลางด้านการเงินที่สำคัญเป็นอันดับ 6 ของโลก
      
       เจนีวา ได้รับการยกย่องว่าเป็นเมืองนานาชาติ เนื่องจากเป็นที่ตั้งขององค์กรระหว่างชาติสำคัญๆ หลายองค์กร อาทิ สำนักงานใหญ่องค์การสหประชาชาติประจำทวีปยุโรป องค์การอนามัยโลก (WHO) องค์การการค้าโลก (WTO) เป็นต้น นอกจากนี้ เจนีวายังเป็นสถานที่จัดตั้งองค์กรสันนิบาตชาติ และกาชาดสากล ทั้งยังเป็นต้นกำเนิดของ www (World Wide Web) ตลอดจนเครื่องเร่งอนุภาคที่มีขนาดใหญ่และมีพลังงานสูงสุดในโลก หรือที่เรียกว่า Large Hadron Collider (LHC)
ยล 10 เมืองน่าอยู่ของโลก เวียนนา ชนะเลิศ
เมืองซูริค เมืองหลวงแห่งวัฒนธรรมของประเทศสวิตเซอร์แลนด์
        อันดับ 2 “เมืองซูริค” (Zurich)ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซูริค เป็นหนึ่งในเมืองที่มีความมั่งคั่งที่สุดในยุโรป และมีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มีประชากรอาศัยอยู่ในตัวเมืองทั้งสิ้นราว 1.68 ล้านคน เมืองนี้เป็นศูนย์กลางทางด้านการค้าและวัฒนธรรมของประเทศ จนได้รับการขนานนามว่าเป็นเมืองหลวงแห่งวัฒนธรรมของประเทศสวิตเซอร์แลนด์
      
       นอก จากนี้ ซูริค ยังเป็นเมืองที่ได้รับการยกย่องว่ามีคุณภาพการดำเนินชีวิตดีที่สุดในโลกจาก ผลการสำรวจของหลายสำนัก นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2006-2009
ยล 10 เมืองน่าอยู่ของโลก เวียนนา ชนะเลิศ
กรุงเวียนนา เมืองโรแมนติกระดับโลก
        อันดับ 1 “เมืองเวียนนา”(Vienna) ประเทศออสเตรีย ได้รับการคัดเลือกให้เป็นเมืองน่าอยู่ที่สุดในโลกประจำปี 2009 จากผลการสำรวจของ Mercer เมือง ดังกล่าวมีความเข้มแข็งและมั่นคงทั้งทางด้าน เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และการเมือง เป็นเมืองที่ได้ชื่อว่า แสนโรแมนติกเมืองหนึ่งของโลก กรุงเวียนนา ยังได้ชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งดนตรีคลาสสิก อมตะของโลก ซึ่งนักแต่งเพลงคลาสสิกไม่ว่าจะเป็น บีโธเฟ่น โมสาร์ท, ชูเบอร์ก, บราห์ม หรือ โยฮัน สเตราส์ ล้วนมาจากที่นี่ 






ปราก (อังกฤษPrague) หรือ ปราฮา (เช็กPraha) เป็นเมืองหลวงและเมืองใหญ่ที่สุดในสาธารณรัฐเช็ก มีประชากรอาศัยประมาณ 1.2 ล้านคน เมื่อ ค.ศ. 1992 องค์การยูเนสโกได้ประกาศให้ปรากเป็นมรดกโลก

ประวัติ   พื้นที่บริเวณกรุงปรากมีคนอาศัยตั้งแต่ 200 ปีก่อนคริสตกาล โดยช่วงแรกเป็นเผ่าเคลต์ (Celt) ก่อนจะถูกรุกรานโดยเผ่าเยอรมนิก (Germanic) และถูกครอบครองโดยเผ่าสลาฟในคริสต์ศตวรรษที่ 4   ประมาณ 200 ก่อนปีคริสต์ศักราช ชาวเคลต์ได้ตั้งอาณานิคมขึ้นทางตอนใต้ มีชื่อว่า Závis แต่ต่อมาในศตวรรษที่ 4 ชาวสลาฟได้เข้าครอบครองดินแดนนี้ จนในศตวรรษที่ 7 วัฒนธรรมของทั้งสองเผ่าพันธ์ได้ ผสมผสานกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว       มีตำนานกล่าวขานว่า เจ้าหญิง Libuše ได้สมรสกับเจ้าชาย Premysl และก่อตั้งราชวงศ์ Premysl ทั้งสองโปรดให้มีการสร้างปราสาทนาม Libusin ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางของแคว้นโบฮีเมีย เจ้าหญิง Libuše ยังได้ทรงเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าและทรงทำนายว่า จะมีการก่อสร้างปราสาทซึ่งสูงสง่าอลังการเทียมฟ้า   ส่วนตัวเมืองปรากนั้นมีหลักฐานว่าสร้างในคริสต์ศตวรรษที่ 9 และเป็นเมืองหลวงของแคว้นโบฮีเมีย ซึ่งอยู่ใต้การปกครองของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์  ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 9 กษัตริย์บอริวอจ พรีมิสโลเวก (Borivoj Premyslovec) ทรงสร้างปราสาทขนาดใหญ่บนเขาสูงสง่าเหนือแม่น้ำ Vltava (ชาวเยอรมันเรียกแม่น้ำนี่ว่า Moldau) เขา Hradchin และมีการขนานนามปราสาทแห่งนี้ว่า ปราฮา (Praha) ซึ่งเป็นชื่อเรียกกรุงปรากในภาษาเช็ก   ต่อมาเจ้าชายวราติสลาฟที่ 1 (Vratislav I) พระราชโอรสในพระเจ้าบอริวอจได้ครองบัลลังก์สืบต่อ และได้อภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงเชื่อสายสลาฟผู้ไม่ศรัทธาในคริสต์จักร์ ดราโกมอีรา (DragomÍra) แต่เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ เจ้าหญิงดราโกมอีราได้สำเร็จโทษพระราชินีลุดมีลา (Ludmila) โดยการรัดพระศอ เนื่องจากไม่สบพระทัยที่พระราชินีได้รับเลี้ยงพระนัดดาซึ่งเป็นพระโอรสของวราติสลาฟและพระนางเองให้ซื่อมั่นในศาสนาคริสต์ ซึ่งต่อมาหลังจากนั้นพระราชินีลุดมีลาก็ได้รับการเอ่ยนามให้เป็นนักบุญหญิง  เจ้าหญิงดราโกมีเอราได้ครอบครองราชย์บัลลังก์ต่อ และได้ยกอำนาจทั้งหมดให้ เจ้าชายเวนเซสลัส (Wenceslas) ในปี พ.ศ. 1464 (ค.ศ. 921) เฉลิมพระนามว่าเวนเซสลัสที่ 1 ดยุกแห่งโบฮีเมีย (Wenceslas I Duke of Bohemia, เช็ก: Svatý Václav)   เมื่อพระเจ้าเวนเซสลัสทรงมีอำนาจในการปกครองแผ่นดิน ก็ทรงประสานสัมพันธไมตรีกับชนชาติเยอรมัน และสนับสนุนระบอบคริสต์ พร้อมกับโปรดให้มีการสร้างมหาวิหารเซนต์วิตุสขึ้นในปี พ.ศ. 1468 (ค.ศ. 925) ซึ่งก่อให้เกิดความไม่พอใจในกลุ่มเสนามนตรี รวมทั้งเจ้าหญิงดราโกมีเอราพระราชมารดา และเจ้าชายโบเลสลาฟ (Boleslav) พระเชษฐา ด้วยเหตุนี้ทั้งหมดจึงวางแผนลอบปลงพระชนม์ ซึ่งเมื่อ พระเจ้าเวนเซสลัสเสด็จมาหาเจ้าชายโบเลสลาฟ พระองค์ได้ถูกลอบปลงพระชนม์ในขณะเดินทาง มีตำนานเล่าว่าในวันที่พระองค์สิ้นพระชนม์ เป็นวันที่พระโอรสของโบเลสลาฟประสูติ และได้รับพระนามว่า Strachkvas (ชัยชนะอันน่ากลัว)  พระนามของพระเจ้าเวนเซสลัสได้โด่งดังไปทั่วโลก โดยที่มีการเอ่ยพระนามของท่านในบทเพลงแห่งคริสต์มาส ในเพลงที่มีชื่อว่า Good King Wenceslas  เจ้าชายโบเลสลาฟได้รับสถาปนาเป็นกษัตริย์พระองค์ต่อมาในปี พ.ศ. 1516 (ค.ศ. 973) บิชอฟอดัลเบิร์ต (Adalbert) บิช๊อฟชาวเช็กรูปแรกได้ถูงยิง และเมื่อหลังจากที่ท่านมรณภาพก็ได้รับการยกย่องให้เป็นนักบุญที่สำคัญท่านหนึ่งของทั้งชาวเช็ก ชาวโปแลนด์ และ ชาวฮังการี   ต้นศตวรรษที่ 10 ปรากได้เป็นศูนย์กลางการค้าขายที่สำคัญแห่งหนึ่งในยุโรปตะวันออก มีหลายเชื้อชาติเข้ามาทำการค้า รวมถึง ชาวยิว ด้วย

10428-1.jpg



พันเอกฮาร์แลนด์ เดวิด แซนเดอส์ (อังกฤษHarland David Sanders) หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ ผู้พันแซนเดอส์ (อังกฤษColonel Sanders) (9 กันยายน ค.ศ. 1890 – 16 ธันวาคม ค.ศ. 1980) เป็นผู้ก่อตั้งร้านไก่ทอดเคนทักกีอันเลื่องชื่อ และเจ้าของสูตรไก่ทอดดังกล่าว เขายังเป็นพ่อครัวมือเอกแห่งยุค เดิมเขาประกอบอาชีพหลายอย่าง และล้มเหลวเสมอ แต่บั้นปลายชีวิต เขาเป็นมหาเศรษฐีเพราะไก่ทอดนั้น

วัยเด็ก  แซนเดอส์เกิดเมื่อวันที่ 9 กันยายน ค.ศ. 1890 ที่เฮนรีวิล รัฐอินดีแอนา สหรัฐอเมริกา โดยเขาเป็นลูกชายคนโตจากลูกทั้ง 3 คนของ วิลเบอร์ เดวิด แซนเดอส์ กับ มาร์กาเร็ท แอน แซนเดอส์พ่อของแซนเดอส์ได้เสียชิวิตลงตั้งแต่เขาอายุเพียง 5 ปี แซนเดอส์ได้อาศัยอยู่กับแม่มาโดยตลอดและได้เรียนรู้วิธีทำอาหารจากแม่ที่ต้องทำอาหารเลี้ยงน้องๆของเขา แซนเดอส์มีฝีมือด้านการทำอาหารมาก เขาสามารถชนะเลิศการประกวดทำอาหารประจำหมู่บ้านเมื่อมีอายุเพียง 7 ปีเท่านั้น แต่ด้านการเรียนของเขาอาจไม่ราบรื่นนักเมื่อเขาต้องออกจากโรงเรียนกลางคันโดยเรียนไม่จบ

การทำงาน  แซนเดอส์ต้องทำงานหาเงินช่วยครอบครัวตั้งแต่อายุเพียง 10 ปี ตั้งแต่ทำงานในฟาร์มใกล้บ้าน เป็นคนขายประกัน พนักงานดับเพลิง แถมยังเข้าเป็นทหารตั้งแต่อายุ 16 ปี (โดยโกหกเรื่องอายุเพื่อเข้าเกณฑ์ทหาร) แต่ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จเท่าไรนักเลย แต่จนกระทั่งอายุย่างก้าวเข้าสู่วัย 40 เขาก็เริ่มทำงานในด้านที่เขาถนัด นั่นก็คือการทำอาหาร โดยเขาได้เป็นพ่อครัวทำอาหารอยู่ในรัฐเคนทักกี ซึ่งที่นั่นเขาก็ประสบความสำเร็จเมื่อผู้คนชื่นชอบอาหารฝีมือของเขา จนเขาสามารถออกมาเปิดร้านอาหารเป็นของตนเองได้ และในอีก 9 ปีต่อมา เขาก็คิดค้นไก่ทอดสูตรลับขึ้นมาได้สำเร็จ โดยมีเครื่องปรุงเป็นเครื่องเทศต่างๆถึง 11 ชนิด ซึ่งได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางจนแซนเดอส์ได้รับการแต่งตั้งจากผู้ว่าการรัฐเคนทักกีให้เป็นถึง พันเอก ฮาร์แลนด์ เดวิด แซนเดอส์ ในปี ค.ศ. 1935

ในปี ค.ศ. 1939 นักวิจารณ์อาหารดันแคนไฮนส์ (Duncan Hines) ได้เยี่ยมร้านอาหารของแซนเดอร์ส แล้วประทับใจมาก โดยได้เขียนให้เกียรติร้านนี้ว่าเป็น “ร้านที่น่ามาท่องเที่ยวชิมอาหาร” โดยข้อเขียนนี้ได้เผยแพร่ไปทั่วประเทศสหรัฐ ในขณะที่ความสำเร็จของเขาขยายวงไปเรื่อยๆ แซนเดอร์สได้มีบทบาทด้านสังคมมากขึ้น เขาได้เข้าร่วมสมาคมโรตารี่ (Rotary Club), สภาหอการค้า (Chamber of commerce), และสมาคม Freemasons เขาได้หย่าขาดจาก โจเซฟิน ภรรยาคนแรกในปี ค.ศ. 1947 สองปีต่อมา เขาได้แต่งงานกับเลขานุการ ชื่อ คลอเดีย (Claudia) และเขาได้รับตำแหน่ง ผู้พันแห่งเคนตั๊กกี้อีกครั้ง จากเพื่อนของเขา คือ ผู้ว่าการรัฐ ลอเรนซ์ เวเธอร์บี้ (Governor Lawrence Wetherby)

ในปี ค.ศ. 1950 แซนเดอร์สได้พัฒนาบุคลิกของเขาให้เป็นสัญลักษณ์ของกิจการ โดยเขาไว้เคราแพะ แล้วย้อมหนวดและเคราเป็นสีขาว และผูกไทร์แบบเป็นเส้น (String tie) เขาไม่เคยปรากฏตัวต่อสาธารณะในรูปแบบการแต่งกายอื่นๆในช่วง 20 ปีหลังของชีวิตเขา โดยในช่วงฤดูหนาว เขาใส่ชุดผ้าขนสัตว์หนา และในฤดูร้อน เขาใส่เสื้อผ้าทำจากฝ้าย แต่ทั้งหมดเป็นแบบเดียวและมีสีขาว เขาย้อมหนวดและเคราเป็นสีขาว เข้ากับสีผมและเสื้อผ้า และนั่นเป็นเอกลักษณ์ที่ทุกคนจำได้ ในวัย 65 ปี ไก่ทอดเคนตั๊กกี้ได้ก่อตัวขึ้นในรูปบริษัท เป็นครั้งแรก โดยผู้ก่อตั้งคือผู้พันแซนเดอร์ส ร้านอาหารหลักของเขาก็ประสบปัญหาล้มเหลวอีกครั้ง เนื่องจากเกิดถนนสายระหว่างรัฐที่ 75 (Interstate 75) ทำให้คนไม่เดินทางผ่านถนนท้องถิ่นเดิม มาที่ร้านของเขา เมื่อเกิดวิกฤติ มีคนมากินอาหารน้อยลง เขาได้ใช้เงิน $105 จากเงินสวัสดิการเกษียณอายุ (Social Security check) ใบแรก เพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายการเดินทางไปเยี่ยมผู้ซื้อแฟรนไชส์ของเขา และนี่อาจเป็นข้อดีที่ทำให้เขาหันมาทำกิจการแฟรนไชส์เครือข่ายร้านอาหารอย่างจริงจัง แม้วัยของเขาจะเข้าสู่วัยสูงอายุแล้ว ในปี ค.ศ. 1964 ผู้พันแซนเดอร์สได้ขายกิจการ ไก่ทอดเคนตั๊กกี้ให้แก่ กลุ่มนักลงทุนมืออาชีพที่มี Jack Massey และ John Y. Brown Jr. เป็นแกนนำ และเพื่อรักษาไก่ทอดเคนตั๊กกี้ ให้คงคุณภาพและรสชาติแบบดั้งเดิม จึงมีการเปิดศูนย์ฝึกอบรมแห่งชาติของ KFC ขึ้นในปีค.ศ. 1978 โดยมีผู้พันแซนเดอร์สเป็น ผู้ตรวจสอบการรักษารสชาติ ของไก่ทอดเป็นหม้อแรก จากพีท ฮาร์แมน ผู้ที่ได้แฟรนไชส์เป็นรายแรก

การเสียชีวิต  ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1980 แพทย์ได้ตรวจพบว่าแซนเดอส์ได้ป่วยเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว และเขายังป่วยเป็นโรคปอดบวมอีกด้วย ทำให้แซนเดอส์เสียชีวิตลงในวัย 90 ปีเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม ค.ศ. 1980 ที่หลุยส์วิล รัฐเคนทักกีสหรัฐอเมริกา ศพแซนเดอส์ได้รับการตั้งไว้ ณ ที่ทำการเมืองหลวง รัฐเคนทักกี แล้วนำศพไปฝังไว้ที่สุสานเคฟฮิลล์ ในเมืองหลุยส์วิล ร่างของเขาได้รับการฝังขณะสวมชุดขาวและโบว์สีดำอย่างเดิม ซึ่งหลังจากเขาเสียชิวิต ร้านอาหารของเขาก็ยังคงได้รับความนิยมจากลูกค้า โดยในปัจจุบัน ร้านเคเอฟซีมีสาขาต่าง ๆ เกือบ 30,000 ร้านทั่วโลก




วันอังคารที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558


มัลดีฟส์ (อังกฤษMaldivesดิเวฮิ) หรือชื่อทางการคือ สาธารณรัฐมัลดีฟส์ (อังกฤษRepublic of Maldives) เป็นประเทศที่มีพื้นที่ประกอบด้วยหมู่เกาะปะการังจำนวนมากในมหาสมุทรอินเดีย และตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศอินเดียและศรีลังกา

ภูมิศาสตร์

ภูมิประเทศ พื้นที่ความยาวจากเหนือจรดใต้ 821 กิโลเมตร จากตะวันออกจรดตะวันตก 120 กิโลเมตร แต่เป็นพื้นที่ดินรวมเพียง 300 ตารางกิโลเมตรมีจุดสูงสุดเพียง 2.3 เมตร ประกอบด้วยหมู่เกาะปะการัง 26 กลุ่ม (atoll) รวม 1,190 เกาะ มีประชากรอาศัยอยู่เพียงประมาณ 200 เกาะ และได้รับการพัฒนาเป็นโรงแรมสำหรับนักท่องเที่ยว 74 เกาะ

สภาพอากาศ

ภูมิอากาศเป็นแบบเขตร้อนชื้น อุณหภูมิเฉลี่ย 27 – 30 C (18-90 F) ตลอดทั้งบีช่วงที่ปราศจากมรสุม ได้แก่ ช่วงเดือนธันวาคม – มีนาคม